生活中遇到问题,就会看到修行的好处

2019年6月15日

หลวงพ่อปิดวัดไปสองอาทิตย์ อาทิตย์ก่อนโน้นไปโรงพยาบาล
อาทิตย์ที่ติดๆ กันเนี่ยไปลาวมา 3 วัน 3 คืน
隆波两周前去了医院,上周去老挝三天,关闭寺庙两周。
3 วัน 3 คืน ไปเทศน์เป็นทางการ 5 รอบไม่เป็นทางการอีกหลายรอบเลยนะ
在老挝三天,有五次正式讲法,和几次非正式讲法。
ไปที่สถานฑูต พวกเจ้าภาพฝ่ายลาว มีพระลาว หลายรอบ
去了领事馆,跟主办方的出家法师也有几次互动,
โทรมสุดขีด ไม่สบายกลับมา
ทั้งหลวงพ่อ ทั้งอาจารย์อ๊า ทั้งคุณแม่
身体极度劳累,回来后隆波就生病了。
不仅隆波,阿姜宋彩尊者和麦琪妈妈也都病倒了。
วันนี้หลวงพ่อ เดี๋ยวต้องไปฉีดยา
ที่จริงควรจะลาป่วยนะ แต่เห็นพวกเรามาเยอะอ่ะ
พระห้ามป่วย หลวงพ่อขอสอนรอบเดียวก็แล้วกันนะ
一会隆波要打针,其实应请病假的,但看来了那么多人,
出家人禁止生病,请允许隆波今天只教一堂课吧。
แล้วก็พอสอนพวกเราเสร็จน่ะ ขอคุยกับพระอาคันตุกะเลยนะ
ท่านค่อยไปฉันข้าวซักแปดโมงครึ่ง หลวงพ่อจะได้ปิดงานวันนี้
等下结束后,请允许隆波跟外来的僧人们互动一下,
僧人们在八点半再去吃早餐,隆波就结束今天的工作。
หวัดตัวนี้ไม่นอน เป็นหวัดที่แย่มากเลยนะกินยาก็ไม่นอนน่ะ ตื่น
患上这种感冒后会导致失眠,这是重感冒。
吃了药也睡不着,始终都是清醒的,
สมกับเป็นพุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น แต่เบิกบานนะ
也算是名副其实的佛陀了——知者、觉醒者,但有快乐。
ใจที่ฝึกไว้ดีๆ น่ะ มีความสุขอ่ะ
ไม่สบายก็มีความสุข ร่างกายไม่สบาย ใจสบาย…
一颗已经训练好了的心是幸福、快乐的,
即使不舒服,也有快乐;身体不舒服,心却很惬意。
ค่อยๆ ฝึกไปนะ เราจะเห็นผลของการฝึกของตัวเองน่ะ
เห็นคุณค่าตอนที่เรามีปัญหาชีวิต
慢慢去训练,我们会自己看到训练的结果——
当生命遇到问题时,就会看到其价值所在:
อย่างเวลาแก่ เวลาเจ็บ เวลาจะตายอะไรนี่นะ
比如,在老的时候、病的时候、死的时候,
เวลาพลัดพรากจากสิ่งที่รัก จากคนที่รัก
在与我们所爱的人、事、物分离的时候,
เวลาเจอสิ่งที่ไม่รัก เวลาไม่สมหวังอะไรอย่างนี้
在遇到不喜欢的事物时,在没有如愿以偿时,
คนทั่วไปก็ทุกข์มาก เราก็ทุกข์น้อยลงๆ นะ
普通人会非常苦。而我们呢?苦却越来越少,
ถึงจุดนึง เราอยู่โดยไม่ทุกข์อ่ะ มีความสุข
ชีวิตที่เหลืออยู่นี่เต็มไปด้วยความสุข
到了某一点,甚至可以快乐而完全没有苦的活着,
剩下的生命全是幸福与快乐。
งั้นบางคนคิดผิดนะ คิดว่าจะภาวนาตอนแก่
所以有些人想错了,误以为要在年老时才修行。
สมมุติว่าภาวนาตอนแก่สำเร็จจริงๆ อ่ะ เหลือเวลาแห่งความสุขน้อยๆ นะ
假定你在年老时开始修行且真的获得成果,
可所剩下的享受的快乐时光也很短暂了。
การปฏิบัตินะ หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ
修行就是不断练习去感知到境界或状态,
เราจะรู้สภาวธรรมนะ ทั้งรูปธรรม นามธรรมที่มันกำลังปรากฏ
แต่มันจะเหลื่อมกันนิดนึง
我们要去感知的境界是正在呈现的名法与色法,
但二者略有差异:
รูปธรรมเนี่ยเราจะรู้รูปที่กำลังปรากฏจริงๆ
对于色法,我们要去感知当下正在呈现的色法,
นามธรรมเนี่ยเราจะตามรู้นามธรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นไปสดๆ ร้อนๆ
ตามหลังมันนิดนึงนะ รู้ตามหลัง
而名法,则是感知刚刚才灭去的“热乎乎”的名法,
是紧随其后的一丁点儿,紧随其后地感知。
แต่รูปเนี่ยรู้ลงปัจจุบันขณะ
นามธรรมเป็นปัจจุบันสันตติ คือสืบเนื่องกับปัจจุบัน
色法是感知当下这一刻,
而名法跟当下是紧挨着的,在当下的“隔壁”。
อย่างโกรธขึ้นมาก่อนแล้วรู้ว่าโกรธ โลภขึ้นมาแล้วรู้ว่าโลภ
比如:生气了,然后知道生气;贪了,然后知道“贪”,
หลงไป ใจลอยไปแล้วรู้ว่าใจลอย รู้ว่าหลง นี่เรียกว่าปัจจุบันสันตติ
迷失走神了然后知道心迷失走神了,
这称为“跟当下是紧挨着的”;
แต่ดูกายเนี่ยดูปัจจุบันขณะ ขณะนี้กำลังหายใจออก ขณะนี้กำลังหายใจเข้า
但是观身是要观当下这一刻,
当下这一刻正在呼气,当下这一刻正在吸气,
ขณะนี้กำลังยืน กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังนอน
มีคำว่ากำลัง เป็น now ตอนนี้เดี๋ยวนี้
当下这一刻正在站、正在走、正在坐、正在睡,
要有“正在”这个词,是当下这一刻的意思。
งั้นถ้าเราไม่เข้าใจหลักตรงนี้
เวลาเรามาดูจิตใจเราจะรู้สึกว่ามันไม่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นปัจจุบันขณะ
如果我们不了解这个原则,
在我们观心时,就会感觉到它并不是当下这一刻,
โกรธไปก่อนเนี่ย ตอนมันจะโกรธทำไมไม่รู้ ถ้ารู้มันก็ไม่โกรธ
为什么正在生气的时候,我们却觉知不了呢?
如果意识到它,就不会生气了,
มันโกรธเพราะมันไม่รู้ต่างหากล่ะเพราะฉะนั้นไม่ต้องไปฝืนธรรมชาตินะ
它生气,恰恰是因为不知不觉。
因此,我们不用去违背自然现象。
โกรธไปก่อนแล้วรู้ว่าโกรธ แต่ต้องรู้แบบกระชั้นชิด
เมื่อวานโกรธ วันนี้รู้…ใช้ไม่ได้
生气了,然后才知道“生气”,必须是紧随其后地感知,
昨天生气了,今天才知道……这是不行的。
ตอนเนี้ยเบิกบาน บางคนจิตเบิกบานขึ้นมานะ ก็เห็นความเบิกบานมันผุดขึ้นมา
现在有些人开心起来了,要看到“开心”冒了出来,
แล้วอย่าไปประคองจิตเอาไว้อีกอย่าไปทำจิตให้นิ่ง
但别去呵护心;也别让心一动不动,
ปล่อยให้จิตมันทำงานให้เป็นธรรมชาติจริงๆ เลยแล้วตามดูลงไป
แล้วเราจะได้เห็นของจริง
而是放任心自然运作,紧随其后地感知,
之后我们才会看到实相。
การปฏิบัติไม่ยากอะไรหรอก ขั้นแรกหัดรู้สภาวะให้ได้
修行其实并不难,首先要练习能够去感知到境界:
ร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้าร่างกายยืนเดินนั่งนอน
ร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่งมีสติตามระลึกรู้ไป รู้ไปเรื่อยๆ
身体呼气,身体吸气;身体行、住、坐、卧;
身体动,身体不动,要不断的有觉性去感知。
มีความสุข มีความทุกข์เกิดขึ้นในร่างกาย มีสติรู้
身体里有快乐、痛苦生起,要有觉性捕捉到;
มีความสุข มีความทุกข์ มีความเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจก็มีสติรู้
มีกุศล อกุศลเกิดขึ้นในใจก็มีสติรู้นะ
苦,乐,不苦不乐在心底生起,要有觉性感知到;
心里生起善法、不善法,都要有觉性感知到;
อย่างบางทีเราเกิดฉันทะอยากปฏิบัติ
เราก็มีสติรู้ว่า โอ้!ขยันภาวนาวันนี้อยากปฏิบัติแล้ว เรียกว่ามีฉันทะ
例如:有时我们心里生起了善法欲——想修行,
要有觉性知道说:哦!今天想努力修行了,这是善法欲。
ไปเดินจงกรม เดิน…กะว่าจะเดินซักชั่วโมงนึง
เดินไป 5 นาที 10 นาที ขึ้เกียจแล้ว
原本打算经行一小时,结果走了几分钟就懒散了,
เนี่ยกุศลคือฉันทะดับแล้ว เกิดอกุศลแล้ว เกิดความขี้เกียจขึ้นมา
原本的善法欲灭去了,生起了不善心(懒散)起来了,
เนี่ยเราตามรู้ไปเรื่อยๆ เป็นช็อตๆรู้เป็นช็อตๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ของยากนะ
就这样一个片段、一个片段紧随着感知,并没有难度。
นี้เรามีสติรู้สภาวะนะ รู้สภาวะแล้วต่อไปเราก็พัฒนาปัญญา คือเห็นความจริงของสภาวะ
这是我们有觉性(在)知道境界。
接下来,我们去提升智慧,也就是看到境界的实相。
งั้นรู้สภาวะอยู่เฉยๆ ใช้ไม่ได้นะ
因此,仅仅只是感知境界,还不够的。
อย่างรู้ว่าท้องพอง รู้ว่าท้องยุบ รู้ว่ายกเท้า ย่างเท้า
比如,知道腹部升、腹部降;知道抬脚、知道放脚,
มันแค่มีสติมันยังเป็นสมถกรรมฐานอยู่ มันยังไม่ขึ้นวิปัสสนา
这仅只是有觉性,仍然属于奢摩他,尚未契入毗钵舍那。
ต้องเห็นความจริงของสภาวะก่อนนะ ถึงจะเป็นวิปัสสนา
必须洞见到境界的实相,才算是毗钵舍那。
อย่างเราคอยรู้ทันใจของเราเนี่ย
我们要不断的及时感知到自己的心:
ใจเราเดี๋ยวก็เป็นผู้หลงไปคิด อันนี้ใจมีโมหะ ชื่อว่าอุทธัจจะ
โมหะชนิดอุทธัจจะ หลงไปคิด
心迷失去想了,这样的心有痴,称为“掉举”;
这是掉举型的痴——迷失去想了。
เรามีสติระลึกรู้ได้ว่าเมื่อกี้เนี่ยหลงไปคิด
พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เราอย่าไปดึงจิตคืนมานะ
我们要有觉性意识到刚才迷失去想了,
一旦这样觉知之后,我们不要去把心拉回来,
จิตมันจะเข้าที่ของมันเอง พอเรารู้สภาวะแล้ว
(因为)一旦我们感知到境界后,心将自行复位。
นี้จิตหลงไปคิดก็รู้นะ พอรู้ทันปุ๊บจิตหลงไปคิดก็ดับ เกิดจิตผู้รู้ขึ้นมา
心迷失去想了,一旦及时知道,
迷失的心就会灭掉,知者的心就会生起。
เราก็ไม่รักษาจิตผู้รู้ ไม่ประคองเอาไว้
我们无需去呵护知者的心,不需要呵护与维持它。
นักปฏิบัติหัดใหม่ทุกคนแหละ พอรู้ว่าหลงก็จะบังคับจิตประคองจิตเอาไว้
อึดอัด แน่น เป็นธรรมชาติของทุกคนเป็นอย่างนั้น
新手全都是一知道迷失,就会打压心或呵护心,
就会感到憋闷和沉重,每个人的自然状态都是如此。
หลวงพ่อหัดใหม่ๆ ก็เป็น
จิตมันหนีไป รู้ว่าหนีไปปุ๊บ ดึงเอาไว้เลยเป็นทุกคนล่ะ
隆波刚开始练习的时候也是这样的,
心跑掉,及时知道的瞬间就马上拽住,每个人都会这样。
เพราะฉะนั้นจิตเลยมี 3 แบบจิตหลงไปนะ ตัวที่ 1 หลงไป
ตัวที่ 2 รู้ว่าหลงตัวที่ 3 กลัวจะหลงอีก ก็บังคับเอาไว้นะ
于是,心就有了三种:第一种,是迷失的心;
第二,是知道迷失的心;第三,是怕心再次迷失而压制。
มี 3 ช็อตการที่เราเห็นจิตมี 3 ช็อตอย่างนี้นะ
หลงไป รู้ เพ่งอะไรอย่างนี้นะ เรียกว่าเรามีสติ
我们会看到心的三种状态:迷失;知道;紧盯,
能这样看到,才称为“有觉性”,
แต่เรามีสติดูรูปธรรมนามธรรมเนืองๆ ดูไปเรื่อยๆ นะ
有觉性,不断地观察名法与色法,持续地观察下去,
แล้วอย่าไปหมาย อย่าไปให้ความสำคัญมั่นหมายกับสิ่งที่ถูกรู้
不带评判,也不为所观的对象赋予任何价值。
อย่างมันรู้ว่าจิตหลงไปคิดรู้ว่าจิตกำลังรู้ตัวอยู่รู้ว่าจิตกำลังเพ่งอยู่อันนี้เรียกว่า เรามีสติ
例如:知道“心迷失去想了”,知道“心正在觉知”,
知道“心正在紧盯”,这样称之为“有觉性”,
แต่เราต้องเห็น ค่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ นะ ค่อยๆระลึกไปเรื่อย
我们要不断地去慢慢观察,渐次持续地去体会,
ถ้าเห็นไตรลักษณ์เมื่อไหร่ก็ขึ้นวิปัสสนาเมื่อนั้น
ถ้าไม่เห็นไตรลักษณ์ก็ได้แค่สมถะ
何时洞悉到三法印,何时就契入了毗钵舍那;
只要尚未照见到三法印,就依然只是奢摩他而已。
งั้นเราดูสภาวะให้ได้ก่อน
พอเราดูสภาวะได้แล้ว ก็ดูลักษณะร่วมของทุกๆ สภาวะ
首先要能够看到境界,
一旦可以看到境界,就进一步观察每个境界的共性。
ทีแรกเรายังไม่เห็นลักษณะร่วมของทุกสภาวะ
เราเห็นแต่ลักษณะเฉพาะ คือเห็นตัวสภาวะอันนั้น
起先还无法看到每个境界的共性,
只能看到每个境界的特性,
เช่น ความโกรธเกิดขึ้นเรารู้ว่าอย่างนี้เรียกว่าโกรธความโลภเกิดขึ้นเรารู้ อย่างนี้เรียกว่าโลภ
比如:生气生起了,我们知道这个叫做生气;
贪生起了,我们知道这个叫做贪;
อันนี้ใจลอย รู้ว่าใจลอย ดีใจ เสียใจ อะไรอย่างนี้นะนี่เป็นสภาวธรรม
เนี่ยเรารู้สภาวะอันนี้เรียกว่าเรามีสติ
心走神了,知道这是走神、开心、伤心等等境界或状况,
我们能够知道这些境界或状况,称之为“有觉性”。
ถ้าสภาวะเกิดแล้วเราไม่เห็น
อย่างร่างกายเราเนี่ยนั่งอยู่แล้วไม่รู้ว่านั่ง เรียกว่าขาดสติ
假如境界生起了,我们却浑然不觉——
比如身体坐着,却不知道身体坐着,称为缺乏觉性;
ร่างกายยืนเดินนั่งนอน หายใจออก หายใจเข้าเราไม่รู้ เรียกว่าเราขาดสติ
身体行住坐卧、吸气呼气,根本不知道,称为缺乏觉性;
จิตใจเราสุข ทุกข์ ดี ชั่วเราไม่รู้ เรียกว่าขาดสติ
心苦乐、好坏,也根本不知道,还是称为缺乏觉性。
ทีแรกเราเห็นสภาวะแต่ละตัวๆ สภาวะแต่ละตัวไม่เหมือนกัน
起先,我们看到每个境界和每个境界都是不同的——
ตัวโลภก็ไม่เหมือนตัวโกรธ ตัวโกรธก็ไม่เหมือนตัวโลภตัวดีก็ไม่เหมือนตัวชั่ว
贪不同于嗔,嗔不同于贪,好和坏也不一样,
เนี่ยแต่ละตัวไม่เหมือนกันตัวสุขก็ไม่เหมือนตัวทุกข์
每个部分都是不同的,快乐和痛苦是有差异的。
แต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง มันทำให้เราสามารถแยกได้
ว่าสภาวธรรมอันหนึ่งแตกต่างจากสภาวธรรมอีกอันหนึ่ง
每个事物都有属于自己的特性,
由此我们能够区分这个境界和另一个境界的不同,
ตรงที่เราเห็นสภาวธรรมแต่ละตัวมันมีลักษณะเฉพาะ มันทำให้เราแยกได้ว่าสภาวธรรมเนี่ยหลากหลาย
看到每个境界有自身的特性,
会使我们清楚了解到境界的多姿多彩。
ทั้งรูปธรรมทั้งนามธรรม มี 72 ตัวถ้าแยกลงไปถ้าแยกละเอียดมีประมาณ 150 ตัว
色法和名法共可分为72种,若细分则有约150种。
ไม่ต้องตกใจนะ เอาเท่าที่ทำได้ อย่างน้อยได้ 2 ตัวพอแล้ว
不用吓一跳,能到何种程度就是啥程度,
事实上只知道2种就够了,
จาก 150 หรือจาก 72 เนี่ย เอาให้ได้ 2 ตัวพอแล้ว
แต่ตัวหนึ่งก็คือจิต อีกตัวหนึ่งคือรูปธรรมนามธรรมทั้งหลายนะ
只需从这150种或者72种(名色中)知道2种就够了,
其中之一必须先是心,另一个则是某类名法或色法。
ต้องมีจิตไว้ตัวนึงก่อน เรียกว่าจิตผู้รู้
其中一个必须是心,称之为“知者的心”。
พอเราแยกสภาวะได้ เราจะพบว่าสภาวะแต่ละตัวไม่เหมือนกัน
一旦我们能够分离境界,就会发现每个境界都不同,
เราดูไปที่ตัวมัน โกรธขึ้นมาเรารู้ว่ากำลังโกรธ
我们观察它们:生气了,知道正在生气,
เมื่อโกรธขึ้นมาเรารู้ ความโกรธมันจะดับให้เราดู
在生气的时候,我们知道它,生气就会灭给我们看;
ความโลภเกิดขึ้นเรารู้ ความโลภก็จะดับให้ดู
有贪心时,我们知道,贪心就会灭给我们看;
ความสุขเกิดขึ้นมาเรารู้ ความสุขก็ดับให้ดู
快乐生起了,我们知道,快乐也会灭给我们看,
ความทุกข์เกิดขึ้นเราก็รู้ ความทุกข์ก็ดับให้ดู
痛苦生起了,我们知道,痛苦就会灭给我们看;
ร่างกายหายใจออก เกิดขึ้นเราก็รู้ ร่างกายที่หายใจออกดับไป
เกิดร่างกายที่หายใจเข้าขึ้นมาแทน เราก็รู้เนี่ยคอยรู้อย่างนี้เรื่อยๆ
身体正在呼气,我们知道,呼气的身体于是灭去,
身体换成吸气,我们也知道,就这样不断观察。
เราเห็นสภาวะแต่ละตัวเนี่ย เกิดแล้วก็หายไปๆ
สุดท้ายเราจะจับลักษณะร่วมของทุกๆ สภาวะได้
就会看到每一个境界,生起了灭去,生起了灭去,
最后,我们就能够领悟到所有境界的共性。
ทีแรกเราเรียนรู้สภาวะแต่ละตัว แต่ละตัวไม่เหมือนกัน
起先是一个境界、一个境界分别研究——每个都不同,
เพราะแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะของมันเองลักษณะเฉพาะเรียกว่า วิเสสลักษณะ
วิเสสะวิเสสะก็คือพิเศษนั่นเอง มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว
因为每个境界都有自己独特的特质,这称为“特性”;
แต่มันก็มีลักษณะร่วมของทุกๆ ตัวการที่เราเห็นสภาวะทั้งหลายเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย
而所有的境界也存有共同的特点。
当我们看到所有境界不断地生灭变化,
สุดท้ายปัญญามันจะเห็นลักษณะร่วม
จะเห็นลักษณะร่วมของทุกตัว คือทุกตัวเหมือนกันในความไม่เที่ยง
智慧终将彻见到所有境界的共性——
即,每个境界同样都是无常的,
ทุกตัวเหมือนกันในการที่ทนอยู่ไม่ได้นานทุกตัวเหมือนกันในการที่บังคับไม่ได้
เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
每个境界都是无法持久的,每个境界都是无法被掌控的,
它们是无常、苦与无我的。
อนิจจังก็คือ ของที่เคยมีมันดับไป อยู่ไม่ได้
“无常”是指,曾经存在的事物它消失了,保持不下去;
ทุกขังก็คือของที่กำลังมีเนี่ย กำลังถูกบีบคั้นให้ดับไป
“苦”是指,正在呈现的事物被逼迫着要消失;
อนัตตา ของจะมีหรือของจะดับ เราสั่งไม่ได้ เป็นไปตามเหตุ
“无我”是指,事物是存在或消失——
我们无法掌控,它们是随顺因缘的,
เนี่ยเป็นลักษณะร่วมของสังขารทั้งหลาย ของรูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย
การที่เราเห็นลักษณะร่วมของมันได้เนี่ยเรียกว่าเรามองทะลุเข้าไปเห็น เดินวิปัสสนาแล้ว
这就是一切有为法、名色法的共性,
当我们能穿透表象而洞见到共性,就是在修毗钵舍那了。
ถ้าเห็นเฉพาะตัวมัน เห็นแต่วิเสสลักษณะ นะ ยังไม่เป็นวิปัสสนาแท้ๆ หรอก ไม่ถึง
如果仅仅只是看到境界本身,洞见其特性,
就还不是真正的毗钵舍那。
เพราะฉะนั้นการที่เราเห็นสภาวะเกิดดับเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ นั้น
จุดที่จิตมันปิ๊งขึ้นมา ว่าเอ๊ย! สุขกับทุกข์เกิดแล้วดับเหมือนๆ กัน
因此,当我们不断看到境界的生灭变化,
来到心顿悟的点:啊!苦与乐同样都是生了就灭,
ดีกับชั่วเกิดแล้วดับเหมือนๆกัน เนี่ยเห็นลักษณะร่วม
จิตจะเข้าสู่ความเป็นกลางจิตจะเข้าสู่ความเป็นกลางเลย
好与坏也同样都是生了就灭,这是看到了共性,
心进入中立,来到保持中立的状态,
ความสุขเกิดขึ้น จิตมันมีปัญญารู้ว่าอยู่ชั่วคราว
当快乐生起,心有智慧明白:它只是暂时的,
เวลามีความทุกข์เกิดขึ้นนะจิตก็มีปัญญารู้ว่าความทุกข์ก็อยู่ชั่วคราว เดี๋ยวก็ดับ
จิตก็จะไม่ห่อเหี่ยว ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่ขัดเคืองนะ
苦生起时,心有智慧领悟到苦也是临时的,很快就会灭,
心就不会郁闷、不会沮丧、不会闷闷不乐。
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดนะ จะสุขหรือจะทุกข์ จะดีหรือจะชั่วเนี่ย
因此,不论什么状况发生,是乐或苦,好或坏,
จิตที่มีปัญญาแล้วนะ เข้าใจลักษณะร่วมของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มันเหมือนกัน
心已经有智慧了,明白了每样事物都存在相同的共性,
มันมีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ระหว่างสุขกับทุกข์ และดีและชั่วก็คือความเป็นไตรลักษณ์
苦和乐之间,好与坏之间,存在共同点,
即:三法印(三共相)。
เมื่อเราเห็นอย่างนี้อย่างแจ่มแจ้งเนี่ย จิตจะมีปัญญาสูงสุดในฝ่ายโลกียะแล้ว
倘若我们清楚洞见,心就有了世间最高的智慧,
คือจะมีปัญญาจนกระทั่งเป็นอุเบกขา เป็นกลางต่อความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
即,拥有了中舍的智慧——对于所有的造作均保持中立。
จิตที่เป็นกลางเข้ามาถึงตรงนี้แล้วเนี่ย ตัวนี้เป็นทางแยก
心一旦中立,就等于来到了分岔路口:
สายที่ 1 อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ จิตเข้ามาสู่ความเป็นกลางแล้วก็เสื่อมไป
เสื่อมได้นะ ยังเป็นโลกียะอยู่
第一条路——由于根器还不够,心契入中立然后退失,
依然会退失的,是因为仍然属于世间法;
สายที่ 2 พวกที่หวังพุทธภูมิ จิตมาสู่ความเป็นกลางแล้วก็เสื่อมได้อีก
เดี๋ยวก็กลับมาอยู่ตรงนี้อีก ไม่สามารถผ่านไปได้
第二条路是修菩萨道的行者,在心契入中立后也会退失,
不久又会再次来到这点,但始终突破不了,
รอจนวันที่ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ไปสร้างบุญบารมีใหญ่กับพระพุทธเจ้า
แล้วตั้งความปรารถนาในพุทธภูมิ ในขณะนั้นน่ะ จิตต้องถึงอุเบกขาตัวเนี้ย
直到有一天遇见佛陀,在佛陀面前累积了极大的波罗蜜,
然后在佛陀面前发愿成佛,同时心必须来到中立的状态,
ไม่ใช่เป็นพุทธภูมิด้วยความโลภอยากเป็น แต่ว่าเป็นอุเบกขา
ถ้าไม่ได้อุเบกขา ท่านไม่พยากรณ์หรอก ยังอ่อนนัก
不是出于贪心想要成佛,而是因为中舍,
如果没有来到中舍,古佛是不会授记的,依然太稚嫩了。
ทางที่ 1 เมื่อจิตเข้าสู่ความเป็นกลางด้วยปัญญาแล้วเนี่ย ทางที่ 1 คือเสื่อม
心因为有智慧进入到中立后,第一条路是直接退失;
อย่างพวกเราน่ะ ขึ้นมาแล้วก็เสื่อม สะสมไปนะ
比如我们大家提升上来后,又会退失,就要继续去积累;
เส้นที่ 2 คือเส้นพวกพุทธภูมิ พวกนี้ยังไงก็ไม่ผ่านไปเกิดอริยมรรค
第二条路是菩萨们,他们无论如何都不会生起圣道;
เส้นที่ 3 เป็นทางแยก ทิ้งโลกียะเข้าสู่โลกุตตระ
第三条路则是丢下世间、而契入出世间。
เพราะฉะนั้นตรงสังขารุเปกขาญาณจิตที่มีสังขารุเปกขาญาณเนี่ย มีทางแยกได้ 3 ช่อง
因此,在行舍智的时候会有三个分岔路口:
อันนึงเสื่อมแล้วก็ทำใหม่ ดีบ้างร้ายบ้างไป
一个是退失了重新再来,继续时好时坏;
พวกนึงทรงอยู่ได้นะ มีกำลังมาก ก็เป็นพวกโพธิสัตว์บารมีสูงๆ เนี่ย
แต่ไม่ตัดนะ ไม่ตัดอาสวะ ไม่ตัดสังโยชน์
另一个是力量强大,可以维持的,是波罗蜜很多的菩萨,
但尚未切断漏烦恼,没有断结缚;
อีกแบบนึงก็คือ ถ้าสาวกภูมิอย่างพวกเราภาวนาไปเนี่ย
จิตเป็นกลางก็บางทีตัดทะลุ เข้าไปเลย เข้าโลกุตตระเลยนะ
还有一种情况是比如我们这样的修习解脱道的佛弟子,
心契入中立后,直接穿透而进入出世间。
จิตจะเข้าถึงความเป็นกลางได้เมื่อจิตเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสามัญลักษณะ
ลักษณะร่วมของสภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวง
心若想能够契入中立,必须彻见到“共性”——
一切境界所共同具备的特质。
แต่ถ้าเห็นแต่ตัวสภาวะเรียกว่ามีสติถ้าสามารถเห็นลักษณะร่วมได้เรียกว่ามีปัญญา
倘若只是看到境界,那只能叫做“有觉性”。
可以看到境界的共性时,才能称为“有智慧”。
งั้นสติกับปัญญาเนี่ยจะพาเราพัฒนาตัวเอง
因此,觉性和智慧会自行带领我们提升。
พอรู้เรื่องมั้ย ? ง่ายมากเลยนะพูดแทบไม่มีภาษาบาลีเลย
大概能听懂吗?非常简单的。
我们所谈的内容几乎不涉及巴利语。
ทีแรกก็หัดดูสภาวะไปก่อน
首先,我们要练习去观境界,
สภาวะอะไรเกิดขึ้นในร่างกายคอยรู้สึก
สภาวะอะไรเกิดขึ้นในจิตใจคอยรู้สึก
什么境界发生在身体上,要慢慢去感觉;
什么境界在心中生起,要慢慢去感知、去体会。
ที่หนึ่งนะ หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆอย่าเข้าไปแทรกแซงสภาวะนะ รู้เฉยๆ
第一,练习去不断地观察境界,
就只是感知而不要去干预境界——
จะสุขหรือทุกข์ จะดีหรือชั่ว จะหายใจออกหรือหายใจเข้า
是乐还是苦、是好还是坏、是呼气还是吸气,
จะยืนหรือเดินหรือนั่งหรือนอน แค่รู้เท่านั้น
是行、是住、是坐,还是卧,就只是感知而已。
มีสติตามระลึกไปเรื่อยๆ
แล้วต่อไปพอเราเห็นสภาวะแต่ละตัวเกิดดับๆ ๆ ไปเรื่อยๆ นะ
有觉性不断紧随着去感知,
当我们看到每个境界不断地生生灭灭,
สุดท้ายปัญญารวบยอดเลยเกิดขึ้น รู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
最后,顶级的智慧就会生起,
从而领悟到每样事物都是无常、苦、无我的。
อันนั้นเป็นวิปัสสนาปัญญาขั้นสูงเลยนะในฝ่ายโลกียะถัดจากนั้นจะเป็นปัญญาในโลกุตตระแล้ว
这是世间高阶的毗钵舍那智慧,
这之后的智慧就是出世间的智慧了。
ปัญญาในโลกุตตระเกิดชั่วขณะแว้บเดียวเท่านั้นเอง
ก็ล้างกิเลสตายหมดล่ะงั้นวันนึงเราจะเป็นพระอรหันต์ได้
出世间的智慧仅仅只生起一瞬间而已,
却能彻底将烦恼斩草除根,未来某一天证悟成阿罗汉。
แต่วันนี้ ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้สภาวะทั้งหลายที่มันกำลังเป็นอยู่กำลังมีอยู่
但现在必须起始于感知所有正在呈现、正在出现的境界,
ขณะนี้นั่งอยู่ รู้สึกมั้ย ?ขณะนี้พยักหน้า รู้สึกมั้ย?
现在这一刻正在坐着,感觉得到吗?
现在这一刻正在点头,感觉到了吗?
ขณะนี้หายใจอยู่ รู้สึกมั้ย ?เนี่ยคอยรู้สึกไปเรื่อยๆ
现在这一刻正在呼吸,感觉得到吗?
就是这样不断地去感觉。
เราจะเห็นว่ามันมีตัวนึงเป็นคนรู้สึกนะสิ่งที่ถูกรู้กับสิ่งที่เป็นตัวรู้มันแยกกันอยู่
我们就会看到,有一个部分是感觉者(能观),
并且能观与所观是分开的,
แต่อย่าไปจ้องใส่ตัวผู้รู้นะ อย่าแสวงหาตัวผู้รู้
只是别去紧盯那个知者,不要千方百计地寻找知者,
แค่รู้ว่ามีตัวนึง มีสิ่งบางสิ่งเป็นคนรับรู้ในรูปธรรมนามธรรมทั้งหลายอยู่
แล้วค่อยๆ เรียนไป
只要知道有一个能感知到所有名法和色法的知者存在,
然后,慢慢地去探究、去体会。
ถ้าเราไปเพ่งใส่ในสิ่งที่ถูกรู้ก็เป็นสมถะ
若我们去紧盯或专注于被观察的对象,就是奢摩他;
ไปเพ่งใส่จิตผู้รู้ก็เป็นสมถะก็จะติดอยู่ตรงนั้น
ปล่อยให้มันทำงานให้เป็นธรรมชาติไป
紧盯知者的心,也是奢摩他,就会被卡在那里,
(应该)放任让它们自然地运作……
ขณะนี้ใครใจลอยบ้าง ? มีมั้ย ?
เนี่ยใจลอยก็เป็นสภาวะอันหนึ่ง เรียกว่าอุทธัจจะ
当下这一刻谁走神了?有吗?
走神也是一种境界,叫做掉举。
ฟุ้งไป ใจลอยไป รู้ทัน
ขณะเนี้ยใครใจแน่นๆ ขึ้นมาบ้าง
心散乱掉了,走神了,跑掉了,要及时地感知到。
当下这一刻,谁的心开始憋闷起来了?
ยังไม่เห็นเองแหละ เกือบทั้งห้องเลย
只是自己还没意识到而已,几乎整个禅堂都是这样的。
พอรู้ว่าใจลอยก็แน่นแล้ว
一旦意识到心走神,就已经憋闷了,
แต่แน่นน้อยๆ เลยวางฟอร์มว่ารู้อยู่ ไม่แน่น
只是略有憋闷感,就装模作样“正在觉知,不憋闷”,
อันนี้ยังแน่นเลย รู้สึกมั้ย ? เราอ่ะ อันนี้…เพ่ง
现在依然是憋闷的,感觉得到吗?而你呢,在紧盯。
ให้รู้สภาวะไปนะ การไปเพ่งไว้ก็เป็นสภาวะอันนึงนะ เพ่ง ก็รู้ไปเรื่อยๆ
要去感知到境界,紧盯或专注也是一种境界,
紧盯了,也要不断地去知道,
เนี่ยหัดรู้สภาวะไปทีละตัวๆ
就去这样练习,一次感知一个境界,
เดี๋ยวทีหลังปัญญามันปิ๊งขึ้นมาเองว่าทุกตัวมีลักษณะร่วมลักษณะร่วมคือสามัญลักษณะ
不久智慧就会自行顿悟:每个境界都有共同之处,
这个共同之处即共性。
ถ้าเข้าใจความจริงว่าทุกตัวเหมือนกันหมดน่ะ
如果明白实相——每个境界全都是相同的,
สุขกับทุกข์ ดีกับชั่วเหมือนกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์
苦与乐,好与坏,它们在三法印的角度是相同的,
จิตก็จะเป็นกลาง เป็นอุเบกขาอย่างแท้จริงด้วยปัญญา
เรียกสังขารุเปกขาญาณ ญาณคือปัญญา
于是心会因智慧而保持中立,契入到真正的中舍,
即行舍智,这种智慧将使心对所有造作保持中舍,
เป็นปัญญาที่ทำให้เกิดอุเบกขาในความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
ทั้งเป็นรูปธรรมและนามธรรมมันจะถึงคำว่าสักว่ารู้ สักว่าเห็น
既包括色法,也包括名法,
它会来到“就只是知道,就只是看见”的状态。
พวกเราชอบพูดเพ้อเจ้อ เนี่ยเดี๋ยวนี้สักว่ารู้ว่าเห็น
大家喜欢胡吹乱捧:
“现在(我)已经就只是知道,就只是看见了”。
พูดไปอย่างนั้นแหละ ไม่สักว่ารู้ว่าเห็นจริงหรอก
只是耍嘴皮,并非真的是“就只是知道,就只是看见”。
สักว่ารู้ว่าเห็นเนี่ยนะ สติปัญญาต้องแก่กล้ามากๆ เลย
“就只是知道,就只是看见”时,
觉性和智慧必须非常强大才有可能。
ของเราเห็นสภาวะแล้วยินดียินร้าย จิตดิ้นรนปรุงแต่งไม่เห็นต่างหาก
我们看到境界后,会有喜欢或不喜欢,
心拼命挣扎与造作,(我们)却对此视而不见,
ไม่เรียกว่าสักว่ารู้ว่าเห็น เรียกว่าสักว่าไม่รู้ไม่เห็นมากกว่านะ
不能叫做“就只是知道,就只是看见”,
而更应该叫“就只是不知道,就只是看不见”。
สักว่ารู้ว่าเห็นเกิดเมื่อปัญญาแก่กล้าแล้วจะเห็นทุกอย่างเท่าเทียมกัน
只有智慧炉火纯青之时,才可能出现——
就只是知道,就只是看到,明白每一样全是平等的。
เพราะฉะนั้นแค่รู้แค่เห็น ไม่ปรุงแต่งต่อ
于是才能做到“就只是知道,就只是看见”,
不再继续造作和演绎。
คำว่าสักว่ารู้ว่าเห็นหมายถึงว่า เมื่อรู้แล้วไม่ปรุงแต่งต่อ
“就只是知道,就只是看到”的意思是:
一旦知道,就不再继续造作和演绎。
อย่างเราเห็นจิตเราไหลไปเนี่ย ตรงที่เห็นว่าไหลเนี่ยเกิดผู้รู้แล้ว
比如我们看到心走神了,看到走神时,知者便已生起。
เราไม่ได้หยุดแค่นี้ เรายังปรุงต่อ
เราไม่ชอบจิตที่ไหลแล้ว เลยประคองจิตเอาไว้
只是我们并没有就此收手,我们会接着忙于造作——
因为我们不喜欢走神,于是就小心翼翼地呵护心,
ก็สร้างภพขึ้นมาอันนึง ภพของนักปฏิบัตินะ แข็งทื่อๆ อยู่
因此构建出一个“有”(十二因缘里的有)——
修行人的“有”——僵硬而呆滞,
แต่ถ้าเราเห็นความจริงนะ
ใจมันมีปัญญามากจริงเนี่ยเห็นมันไหลก็สักว่าเห็นนะ
但如果我们看到实相,心真的具备足够多的智慧,
看到走神,就只是看到而已,
ไม่เกลียดมัน ใจเป็นกลางเป็นกลางแล้วดียังไง ?
并未厌恶它,心会保持中立……中立后又有什么好处呢?
เป็นกลางแล้วไม่ปรุงแต่งต่อไม่ปรุงแต่งต่อแล้วเป็นยังไง ?
保持中立后就不会继续造作。而不继续造作又能如何呢?
ถ้ากำลังมากพอนะ บุญบารมีมากพอ
มันก็จะไปเห็นธรรมะที่ไม่ปรุงแต่ง ธรรมะที่พ้นจากความปรุงแต่ง คือพระนิพพาน
如果力量足够,福德波罗蜜也足够的话,
就会看到非造作的法、摆脱掉造作的法,即涅槃。
เพราะฉะนั้นการที่เราคอยรู้สภาวะไปเรื่อยนะ
รู้แต่ละตัวๆ เห็นมันเกิดแล้วดับไปๆ ๆ
因此,在我们不断地感知到境界的时候,
要一个个的感知,看见它们生起灭去、生起灭去,
ในที่สุดปัญญาแก่รอบ เห็นทุกตัวมีค่าเท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์
最终智慧圆满,就会洞见到:
在三法印的面前,每个(境界)都是平等的。
ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงดีกับชั่วเนี่ยเท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์นะ
这里要小心!好和坏,在三法印的面前是平等的,
แต่ในทางจริยธรรมไม่เท่าเทียมกัน ผลที่ได้ไม่เหมือนกัน
ดีก็มีผลเป็นความสุข ชั่วก็มีผลเป็นความทุกข์
但在道德层面(它们)是不平等的,其结果也不同,
“好”的结果是快乐,“坏”的结果则是痛苦,
แต่ว่ามันเท่าเทียมกันด้วยความเป็นไตรลักษณ์
หมายถึงว่าดีหรือชั่วก็ไม่เที่ยงเหมือนกันเป็นทุกข์เหมือนกัน บังคับควบคุมไม่ได้เหมือนๆ กัน
在三法印的面前是平等的,意思是:
好与坏同样是无常的,苦的,无法被掌控的。
เนี่ยเห็นอย่างนี้ไปเรื่อย ในที่สุดจิตเป็นกลาง
如此不断地观察,心终将保持中立,
พอจิตเป็นกลาง จิตก็หมดการดิ้นรน สักว่ารู้ว่าเห็น
一旦保持中立,心就不会再挣扎,
将会“就只是知道,就只是看到”。
ถ้าบุญบารมีพอจิตจะรวมเข้าอัปณาสมาธิ
รวมเองนะ เราไม่ได้รวมหรอก
如果福德波罗蜜足够,心就会集中而进入安止定,
它是自行集中的,并不是我们把它集中(起来)的,
มันรวมของมันเองเลยในขณะนั้นน่ะพอมันรวมแล้วมันจะมาเดินปัญญาอยู่ภายในนะ
ยังเป็นโลกียะอยู่นะตัวนี้เป็นปัญญา
心在一刹那间自行集中,一旦集中,
就会在内部开发智慧,但这依然是世间的智慧。
เดินปัญญาอยู่ภายในสองสามขณะ
แล้วถ้าบุญบารมีเต็มเนี่ยจิตจะวางรูปธรรมนามธรรม
在内部开发两三个刹那的智慧后,
如果福德波罗蜜圆满,心就会放下名法和色法,
ทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้ไม่ใช่จิตผู้รู้นะ ตรงนี้ไม่ใช่จิตผู้รู้ มันจะทวนเข้าหาตัวธาตุรู้
逆流而上去寻找知元素,可不是知者的心啊!
这里不再是知者的心,而是返寻知元素。
จิตผู้รู้พวกเรามีอยู่แล้ว
แต่ธาตุรู้ของเราเนี่ยมันยังถูกปกปิดอยู่ ถูกอาสวะกิเลสปกปิดห่อหุ้ม
知者的心,我们已经拥有了,
只是知元素仍被掩藏,被漏烦恼所包裹。
ญาณทัสสนะของเรายังไม่เข้มแข็งพอที่จะทะลุเข้าไปมองเห็น
我们的智见(也)尚未犀利到足以(能够)穿透进去。
ตอนที่ได้พระโสดาบัน น่ะ โสดาปัตติมรรคเกิด มันทวนกระแสเข้ามาถึงตัวธาตุรู้แล้ว
在证悟初果、生起须陀洹道时,心会逆流抵达知元素,
สิ่งที่ห่อหุ้มธาตุรู้แตกสลายออก แตกออก กระจายออกไป
包裹着知元素的“壳”将会(彻底)裂开,分崩离析,
จิตก็จะเห็นตัวพระนิพพาน เป็นความว่าง ความบริสุทธิ์
心于是会看到涅槃——空、纯净无染,
เป็นความเบิกบานที่ไม่มีอะไรเหมือน ที่หลวงปู่ดูลย์เรียกว่าจิตยิ้ม
那是无以伦比的喜悦,隆布敦长老称之为“心笑了”。
จิตยิ้มไม่ใช่ตัวนิพพาน นะจิตยิ้มคือจิตที่เห็นพระนิพพาน
เราสัมผัสความสุขอันมหาศาลของพระนิพพาน
“心笑了”并不是指涅槃,而是指看到涅槃,
并品尝到涅槃无穷无尽之快乐时的心。
เนี่ยวันนึงเราจะเข้าไปสู่ตรงนี้นะ
แต่วันเนี้ยหัดรู้สภาวะไว้ให้ดี
未来的某一天,我们会抵达这一点。
但是今天,我们先要好好训练(去)感知境界,
เห็นสภาวะทั้งหลายเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป
ดูไปเรื่อยๆ แล้วต่อไปจะเข้าใจลักษณะร่วมของทุกๆ สภาวะ
看到所有境界的生、住、异、灭,
持续不断地观下去,就会明白所有境界的相同之处,
ตัวนี้เป็นวิปัสสนาชั้นสูง เข้าใจแล้วจิตเป็นกลาง
จิตเป็นกลาง จิตก็ไม่ปรุงแต่งต่อ
这是高阶的毗钵舍那,心将在明白以后保持中立。
一旦保持中立,心就不会再继续造作和演绎;
พอจิตไม่ปรุงแต่ง จิตก็พ้นจากความปรุงแต่ง
一旦不再造作,心就会从造作之中解脱出来。
ตัวโลกุตตระ คือสภาวะที่พ้นจากความปรุงแต่ง
所谓出世间,即是指从造作之中解脱出来的状况。
แต่มันมีกระบวนการที่จะเข้าสู่ตรงนี้นิดนึง
在它抵达这里之前,还有一小段过程:
จิตจะรวมเข้าอัปปณาสมาธิ จิตจะไปเดินปัญญาในชั้นละเอียดสองสามขณะ
จะเห็นว่าสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดับไป แต่เราจะไม่รู้ว่าคืออะไร
心集中进入安止定,然后在内部开发智慧两三个刹那,
就会看到某些东西生起然后灭去,却不知道它是什么,
เพราะสัญญาในขณะนั้นจะหมายรู้แต่ความเป็นไตรลักษณ์
因为在那一瞬间,想蕴仅仅只是在界定三法印,
จะไม่หมายรู้ว่าอันนี้คือความสุข อันนี้คือความทุกข์
อันนี้คือความดีความชั่ว จะไม่หมาย
而不会去界定——这是快乐,那是痛苦,
这是好的或坏的,是不会从这些角度来界定的;
แต่จะหมายแค่ว่าสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นก็ดับ เนี่ยสองขณะสามขณะ
想蕴仅仅只是在界定:某些东西生起然后它灭去了。
整个过程只有两三个刹那。
ถ้าเป็นพวกปัญญิณทรีย์แก่กล้า มีปัญญาแก่กล้านะจะเห็นสองขณะ
ถ้าไม่แก่กล้าจะเห็นสามขณะ
根器利且智慧圆满者,将会看到两个刹那;
根器不利者,则看到三个刹那。
พอเห็นแล้วจิตก็จะวางโลกียะ ก้าวกระโดดไปสู่ธาตุรู้ ไปสู่โลกุตตระ
一旦看到,心就会放下世间,
跨越式抵达知元素,进入出世间。
ในโลกุตตระเนี่ยจิตมันเป็นธาตุรู้นะ
在出世间,心即是知元素。
ตรงที่ก้าวกระโดดเนี่ย ชั่วขณะเดียวแว้บเดียวเท่านั้น
这个跨越的过程是极短暂的,仅仅只是一刹那而已,
พอก้าวกระโดดเข้ามาถึงอาสวะกิเลสที่ห่อหุ้มอยู่เป็นเปลือกที่หุ้มจิตอยู่เนี่ยจะแตกออก
แตกนะ แตกออก
一旦跨过去,触及到包裹着心的漏烦恼,
后者就会裂开,裂开,裂开……
ตรงที่แตกออกเนี่ยไปเกิดช่วงที่เกิดมรรค นะ ฆ่ากิเลส
แตกแล้วมันจะเกิดผลตามมา อริยผลจะตามมาทันทีเลย
裂开的这个过程发生在圣道生起的瞬间,
是对烦恼的致命一击。裂开之后,圣果接踵而至。
มันจะเกิด อันแรกที่เห็นเลยนะ…ว่างอันที่สอง สว่างอันที่สาม เบิกบาน
依次生起的首先是“空”;其次是“光明”;
最后是“喜悦”。
แต่บางคนจะเห็นสองอัน ว่างกับสว่างจิตเป็นอุเบกขา อย่างนี้ก็มีนะ
但也有人只是看到“空”和“光明”这两者,
而心是中舍,这样的情况也有。
บางคนจะเห็นสามอัน ว่าง สว่าง เบิกบาน ที่หลวงปู่ดูลย์ เรียกว่าจิตยิ้ม
有些人会看到“空”、“光明”、“喜悦”三者,
这就是隆布敦长老所言“心笑了”。
ถัดจากนั้น อาสวะก็จะกลับเข้ามาครอบคลุมจิตไว้ใหม่ปิดบังธาตุรู้ไว้
那之后,漏烦恼会卷土重来,重新包裹心,掩盖知元素。
ธาตุรู้ไม่ตายนะ แต่เรามองไม่เห็น
เพราะถูกห่อหุ้มถูกปิดบังเอาไว้ด้วยอาสวะกิเลสมันก็กลับมาเป็นจิตผู้รู้
然而知元素本身是不死的,只不过我们视而不见罢了。
因为被漏烦恼包裹掩盖,于是它秒变回知者的心。
เพราะฉะนั้นจิตผู้รู้เนี่ย ยังอยู่ใต้อำนาจของอาสวะกิเลส
โดยเฉพาะอวิชชาสวะ ตัวอวิชชา หัวโจกของตัวอาสวะ
所以知者的心呢,依然是在漏烦恼的统治之下,
尤其是无明漏,无明是诸漏烦恼的匪首。
กามาสวะ ภวาสวะอวิชชาสวะสามตัวนี้อาสวะ
欲漏、有漏、无明漏,这三者都是漏烦恼。
ถามว่าพวกเรามีธาตุรู้มั้ย ? พวกเรามี
如果问说:大家都有知元素吗?是的,大家都有。
หมาก็มี แมวก็มี มดก็มี ภูตผีปีศาจ สัตว์นรก
狗也有,猫也有,蚂蚁也有,精灵鬼怪、地狱众生,
สัตว์เดรัจฉานเปรต อสูรกายมีธาตุรู้มั้ย​ ? มี
畜生、恶鬼,阿修罗,大家都有知元素吗?是的,都有。
แต่ไม่สามารถแสดงตัวออกมาได้เพราะถูกอาสวะกิเลสห่อหุ้มไว้
只不过它无法显现出来,因为被漏烦恼包裹着。
วันที่สติปัญญาทะลุทะลวงทำลายอาสวะเข้าไปนะมันเริ่มมาจากเห็นสภาวะนะ
แล้วก็เห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาวะแต่ละตัวเกิดดับเปลี่ยนแปลงไป
觉性智慧击穿摧毁漏烦恼的那刻,必始于“看到境界”,
而且是看到每个境界“不断生灭”的运作变化。
ตรงนี้จริงๆ เขาก็จัดว่าเป็นวิปัสสนานะแต่มันเป็นวิปัสสนาอ่อนๆ หน่อย
有人将这个阶段也归属于毗钵舍那,
但它只是初阶的毗钵舍那而已;
แล้วตรงที่มันเข้าไปถึงความเป็นกลางเนี่ย เป็นวิปัสสนาระดับสูง
在能够来到中立的时候,才属于高阶的毗钵舍那。
พอเป็นกลางจิตก็จะหมดการดิ้นรน
เมื่อจิตหมดความดิ้นรนนะ จิตจะรวมเข้าอัปปณาเอง
一旦保持中立,心就停止挣扎;
一旦心不再挣扎,心就进入安止定。
ทำไมมันรวมได้ ?ก็จิตที่ดิ้นรนมันแส่ส่ายไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
为什么它能入定呢?
心挣扎就会在眼、耳、鼻、舌、身、意根不断地流窜,
มันส่าย วุ่นวาย ไม่ได้เข้าฌาน
摆动不定、居无定所,所以无法进入禅定。
อย่างจิตพวกเราเนี่ยเดี๋ยวก็วิ่งไปทางตาทางหูทางใจวิ่งฟุ้งซ่าน ไม่ได้เข้าฌาน
比如大家的心时不时跑到眼根、耳根和意根,
到处乱跑,因此无法进入禅定。
แต่จิตที่หมดแรงดิ้นรน หมดการดิ้นรนนะ
มันรวมลงที่จิตดวงเดียวมันก็เข้าฌาน
但再也不挣扎的心,不再挣扎,
它会集中于单一的一颗心,于是入定。
บางท่านเข้ารูปฌานบางท่านเข้าถึงอรูปฌานแล้วแต่ว่าเคยฝึกอะไรมา
有人入色界定,有人入无色界定;取决于以往的训练。
ชำนาญในอรูปมันก็เข้าอรูปชำนาญมาทางรูปนะ มันก็เข้าที่รูป
精通无色界,就入无色界定;精通色界,就入色界定。
อย่างพวกเราดูจิตเนี่ย ตอนที่บรรลุมรรคผลเนี่ยบางทีเข้าอรูปไปเลย
หรือถ้าเราเน้นที่กายมามากๆ นะ บางทีเข้าที่กาย เข้ารูป
比如大家观心体证道果时,有时甚至会直入无色界定;
如果我们偏重于观身,就会经由观身而入色界定;
แต่ก็ไม่แน่ บางองค์บารมีท่านเยอะนะ ดูกายเนี่ยนะแล้วทะลุเข้าอรูปเลยก็มี
但也不完全,有些人波罗蜜非常多,
观身后直取无色界定的,也是有的,
ตรงนี้ไม่แน่นอนอ่ะ แล้วแต่จิตจะเป็นไปเอง
这一点并不是绝对的,而是随顺心的造化的。
จำได้มั้ยที่สอนวันนี้ ?ยากมั้ย?
今天隆波所教的,(大家)记得住吗?觉得难吗?
หัดรู้สภาวะแต่ละตัว แต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะ
要去训练观察每一种境界,每一种境界都有其特质:
โลภก็ไม่เหมือนโกรธไม่เหมือนหลง
สุขก็ไม่เหมือนทุกข์ ไม่เหมือนเฉยๆ เนี่ยดูไปยังงี้นะ
贪不同于嗔,也不同于痴,乐不同于苦,
也不同于不苦不乐,就是这样观下去。
ดีก็ไม่เหมือนชั่ว หายใจออกก็ไม่เหมือนหายใจเข้า
ยืนเดินนั่งนอนก็ไม่เหมือนกัน เนี่ยหัดรู้แต่ละตัวๆ ไป
好不同于坏,呼气不同于吸气,
行住坐卧也各不相同,就这样一个个地观下去,
จนกระทั่งต่อมาสติ สมาธิมันเข้มแข็งขึ้นนะ
มันจะเป็นคนดูอยู่ แล้วมันจะเห็นสิ่งนี้ผุดขึ้นมาแล้วก็ดับ ผุดแล้วก็ดับ
直至觉性和禅定越来越强大,心作为观者,
看到现象生起而后灭去,生起而后灭去……
ดูเขายิงพลุ เคยได้ดูมั้ย ? ยิงพลุ
หลวงพ่อเคยได้ดูตั้งแต่รุ่นบั้งไฟพญานาคนะ ผุดขึ้นมาแล้วก็ดับ ๆ
曾经看过放烟花吗?隆波曾见过火龙型的烟花,
冲出来然后消失,冲出来然后消失,
เนี่ยเราเห็นแต่ละดวง ยิงขึ้นไปสว่างจ้าเดี๋ยวก็ดับ
看到每一颗都会冲上天空,璀璨闪耀,然后灭去……
อย่างเนี้ยดูไปเรื่อยๆสุดท้ายมันจะรู้เลย ไม่ว่าอะไรโผล่ขึ้นมา ดับทั้งหมดล่ะ
就是这样观下去,最后就会明白:
无论什么生起,都会灭去。
จิตจะเป็นกลาง สักว่ารู้ว่าเห็น
พอสักว่ารู้ว่าเห็น จิตจะไม่ดิ้นรน
于是,心保持中立:就只是知道、就只是看到。
一旦就只是知道、就只是看到,心将不再挣扎;
เมื่อจิตไม่ดิ้นรน จิตจะรวมเข้าฌาน เข้าอัปปณาสมาธิ
一旦心不挣扎,心就进入禅那(安止定);
แล้วจิตที่มันเดินปัญญาสืบเนื่องมาจนอัตโนมัติเนี่ย
มันจะเดินปัญญาในฌานสองสามขณะ ไม่เหมือนกัน
然后,心就会继续自动而连贯地开发智慧,
会在禅定里开发两或三个刹那的智慧,因人而异;
ถัดจากนั้นมันจะวางรูปธรรมนามธรรม ทวนกระแสเข้าหาธาตุรู้
之后,它就会放下色法与名法,逆流而上寻找知元素。
ตรงเนี้ยชั่วขณะจิตเดียว เรียกโคตรภู เป็นญาณข้ามโคตร
ข้ามจากโคตรปุถุชนมาเป็นโคตรพระอริยะ
这里仅仅只是一个心识刹那而已,称之为“种姓智”,
是跨越种姓(从凡夫跨越到圣者)的智慧。
พอเข้ามาถึงตัวธาตุรู้เนี่ย อาสวะมันแตก
คล้ายๆ มันเจาะทะลุเข้าไป เปลือกมันแตก
一旦进到“知元素”,漏烦恼就会分崩离析,
仿佛是直插其心脏,导致它的外壳彻底碎开,
จิตก็สัมผัสความว่าง ความสว่าง ความเบิกบาน พระนิพพานว่าง
于是,心接触到空、光明、喜悦……
ในขณะนั้นประกอบด้วยปัญญาญาณอย่างยิ่งด้วย แต่ว่าไม่ได้หมายรู้อะไรเลยนะ
สว่างไสวไร้ขอบเขตนะ
那个片刻带着绝顶的智慧,但却没有任何界定或概念,
光明璀璨、无边无际……
ยิ่งถ้าเราภาวนาดูได้ละเอียด จะเห็นมันเป็นช็อตๆ เลยสว่าง ว่าง เบิกบาน
如果我们能看得足够细致,
就会看到一个画面接着一个画面——光明,空,喜悦。
ถ้าดูเป็นนะจะเห็นแต่ส่วนนึงดูไม่เป็น
จิตล้างกิเลสไปแล้วนะ นับไม่ทัน
如果会观,就能看到。但也有一部分人看不出来,
还没缓过神来,心就已经根除了烦恼习气,
ดูไม่ออกว่ามันมีตั้ง 7 ช็อต
ในช่วงที่ล้างกิเลสน่ะ ดูไม่ออก
根本没有回过神:已经过去了根除烦恼习气的七个片段,
真有点“不识庐山真面目,只缘身在此山中”的意味。
แต่ถ้าสมาธิเราดี ปัญญาเราดีเนี่ย เราจะเห็น 7 ช็อต
但假如禅定很好、智慧很利,就会看到过程共有七个片段。
ถัดจากนั้นจิตจะถอนออกมานะ กลับมาสู่โลกข้างนอกเนี่ย
แล้วมันจะย้อนกลับไปดูเลยว่าเมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้น
而后,心抽身退回到外面的世间,
接着返照和回看刚才究竟发生了什么?
มันจะเห็นว่าสิ่งใดเกิดก็สิ่งนั้นดับ ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
它就会看到“凡生起的,必会灭去”,
并没有真正的“我”存在。
เห็นแล้วสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ไม่มีเราเหลือ
ไม่มีกระทั่งเงาของความเป็นเราอย่าว่าแต่ตัวเราเลยนะ
看到“身见结”已经断了,再没有“我”残留下来,
不用说“我”了,就连“我”的影子都没有!
เงาของความเป็นเราก็ไม่มีอยู่ในจิตอีกต่อไปแล้วจะเห็นได้ชัดเจนด้วยตัวเองไม่สงสัย
“我”的影子再也不会在心中出现,
那是彻底的洞见,没有丝毫怀疑。
แต่ถ้าเป็นพวกดูได้ไม่ละเอียดนะ ล้างกิเลสไปแล้วยังไม่รู้เลยนะ
แต่ว่ามันไม่มีเราแล้ว มองไม่เห็น ไม่รู้
但对观照不细的人来说,即便烦恼根除也浑然不觉,
但已经没有“我”了,再也看不见“我”。
มันมีคำพูดว่าเป็นเรา เหลือแต่คำพูดว่าเราอย่างนู้น เราอย่างนี้
虽然言谈间还在使用“我”这个称谓,
还保有“我那样、我这样”的口头语,
แต่ในใจจริงๆ มันไม่มี นะ…ไม่เหมือนกัน
但其内心中,“我”已不复存在。那是不一样的。
วันนี้หลวงพ่อต้องขอเวลานอกนะ แค่นี้นะ
今天请允许隆波就讲到这里,大家先吃饭,
รอบสอง เดี๋ยวไปกินข้าวแล้วพวกเรายังสนใจจะเรียนก็มาเรียนจากผู้ช่วยสอนอยู่
等第二个回合时,若谁还有兴趣继续学,
就去跟隆波指定的指导老师们请益。
เอ้าไปกินข้าวไป เดี๋ยวหลวงพ่อจะพูดกับพระ
请大家去吃饭,隆波要跟出家师父们互动一下。

Loading